“มะเร็งปากมดลูก” ภัยมรณะใกล้ตัวคุณ และคนที่คุณรัก!

มะเร็งอันดับ 3 ในผู้หญิงไทย

จากสถิติปี 2020 พบว่า มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดอันดับ 3 ในผู้หญิงไทย โดยเฉลี่ยในแต่ละปี จะมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่กว่า 9,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 5,000 ราย หรือในแต่ละวัน ประเทศไทยจะมีผู้หญิงเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกถึง 13 คน!

สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ HPV

สาเหตุของมะเร็งปากมดลูกเกือบ 100% นั้นเกิดจากการติดเชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus

และมากกว่า 85% ของประชากร เคยติดเชื้อ HPV อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต!

จากสถิติพบว่า ในแต่ละปี จะมีประชากรทั่วโลกติดเชื้อ HPV มากกว่า 660,000,000 คน หรือเท่ากับว่า ในทุกๆ 1 ชั่วโมง จะมีคนถึง 75,000 คนทั่วโลกติดเชื้อ HPV

ไม่ว่าใครก็มีโอกาสติดเชื้อ HPV เพราะ

เชื้อนี้แพร่ผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง, การจูบ, การมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก รวมถึงทางปาก อีกทั้งยังสามารถแพร่ผ่านทางการใช้สิ่งของ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ร่วมกันได้

ซึ่งถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องมีคู่นอนหลายคนถึงจะติดเชื้อ HPV แต่คุณสามารถติดเชื้อติดเชื้อ HPV ได้ตั้งแต่การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก!

HPV ทำให้เกิดโรค และมะเร็งได้ ทั้งหญิงและชาย

เชื้อ HPV มีมากกว่า 100 สายพันธ์ุ โดยเชื้อ HPV สายพันธ์ุที่ก่อโรคแบ่งได้เป็น

  1. สายพันธุ์ความเสี่ยงต่ำ (Low-risk HPV) โดยเฉพาะสายพันธุ์ 6 และ 11 ซึ่งก่อให้เกิดหูด
  2. สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High-risk HPV) โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่จะทำให้เซลล์ที่ติดเชื้อ สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้สูง

 เชื้อ HPV เป็นสาเหตุของโรค และมะเร็งต่างๆ ดังนี้

90%

ของหูดหงอนไก่ หรือหูดบริเวณอวัยวะเพศ

70%

ของมะเร็งศีรษะและลำคอ
 

90%

ของมะเร็งทวารหนัก
 

70%

ของมะเร็งปากช่องคลอด
 

75%

ของมะเร็งช่องคลอด
 

60%

ของมะเร็งองคชาต
 

มะเร็งปากมดลูกมักไม่มีอาการ

หลังได้รับเชื้อ HPV เชื้อสามารถอยู่ในร่างกาย โดยไม่ก่อโรคใดๆ ได้นานถึง 10-30 ปี และมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการในระยะแรก อาจมีอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือหลังการมีเพศสัมพันธ์ และมีตกขาวผิดปกติได้

ในระยะหลัง อาจมีอาการที่เกิดจากการกดเบียดของก้อนมะเร็งเช่น ปวดท้องน้อย ขาบวม เป็นต้น

เราจะป้องกันการติดเชื้อ HPV และมะเร็งปากมดลูกได้อย่างไร?

การป้องกันการติดเชื้อ HPV ที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีน HPV ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดโรค และมะเร็งจากเชื้อ HPV ได้สูงถึง 90-97% (ขึ้นกับชนิดของวัคซีน) โดยสามารถฉีดได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง รวมถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

ปัจจุบันมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอยู่ 3 วิธีคือ

ชนิดการตรวจ
สิ่งที่ตรวจ
คำอธิบาย
Pap test (Pap smear)
การเปลี่ยนแปลงของเซลล์บริเวณปากมดลูก (เซลล์ที่ผิดปกติ)
วิธีดั้งเดิม
HPV DNA test
เชื้อ HPV ชนิดความเสี่ยงสูง (ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง)
มีความไวสูงกว่า*
Co-testing
ตรวจทั้งคู่ (เชื้อ HPV ชนิดความเสี่ยงสูง และการเปลี่ยนแปลงของเซลล์บริเวณปากมดลูก)
มีความไวสูงกว่า*

*การศึกษา ATHENA ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างการตรวจ Pap และ HPV DNA test ในสตรีมากกว่า 47,000 ราย พบว่าวิธีดังกล่าวมีความไวในการตรวจหารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งสูงกว่า

ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำการตรวจหาเชื้อ HPV (HPV DNA test) เป็นวิธีตรวจคัดกรองหลักในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกสำหรับสตรีทั่วไป และสตรีที่ติดเชื้อ HIV และสมาคมโรคมะเร็งอเมริกันยังแนะนำการตรวจหาเชื้อ HPV (HPV DNA test) เป็นวิธีหลักในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในผู้หญิงอายุระหว่าง 25-65 ปีด้วย

การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมีขั้นตอนอย่างไร?

โดยปกติ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้ในสถานพยาบาล คลินิก หรือโรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่มักทำระหว่างการตรวจภายใน

ผู้ป่วยจะต้องนอนบนเตียง และแยกขาออก จากนั้นแพทย์จะสอดเครื่องมือที่เรียกว่า speculum เข้าไปในช่องคลอด เพื่อใช้ถ่างขยายบริเวณส่วนบนของช่องคลอด และหาปากมดลูก ซึ่งช่วยให้แพทย์เก็บตัวอย่างเซลล์ และบริเวณโดยรอบปากมดลูกได้ 

ซึ่งหากตรวจโดยวิธี Pap test (Pap smear) จะต้องตรวจซ้ำทุกๆ 2 ปี แต่หากตรวจด้วยวิธี HPV DNA test ที่มีความไวสูงกว่า จะสามารถตรวจซ้ำแค่ทุกๆ 5 ปี

กลุ่มเสี่ยง “มะเร็งปากมดลูก” ต้องระวังเป็นพิเศษ!

ใครหล่ะ? ที่เสี่ยงมะเร็งปากมดลูกเป็นพิเศษบ้าง
  • ผู้ที่ไม่ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
  • ผู้ที่ไม่เคยฉีดวัคซีน HPV
  • ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
  • ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอเช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ผู้ที่มีบุตรหลายคน
  • ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลานาน

หากคุณเป็นกลุ่มเสี่ยง คุณควรทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจตรวจถี่ขึ้น เพื่อหาเชื้อ HPV ก่อนที่จะเซลล์ของคุณจะกลายเป็นมะเร็ง

ตรวจก่อน รู้ก่อน ป้องกันได้! ด้วยการตรวจหาเชื้อ HPV ด้วยตนเอง

ในปี 2021 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศแนวทางปฏิบัติสำหรับป้องกันมะเร็งปากมดลูกใหม่ ซึ่งแนะนำการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ ที่สามารถเก็บโดยผู้ให้บริการทางการแพทย์หรือตัวเองก็ได้

งานวิจัยบางฉบับพบว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยการเก็บตัวอย่างด้วยตนเองนั้น มีความแม่นยำในการหาเชื้อ HPV (HPV DNA) เท่ากับการเก็บตัวอย่างโดยแพทย์จากการตรวจภายใน

HPV Vaccine

การฉีดวัคซีนป้องกัน HPV

ปัจจุบันนี้ ในประเทศไทยมีวัคซีนป้องกัน HPV 2 ชนิดคือ ชนิด 4 และ 9 สายพันธุ์ ซึ่งป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ก่อโรคได้ครอบคลุมตามชื่อ

โดยพบว่าวัคซีนป้องกัน HPV ชนิดล่าสุด 9 สายพันธุ์นั้น สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ HPV รวมถึงมะเร็งที่เกี่ยวข้องได้ถึง 97%

อ้างอิง